พนันไก่ชน

ผีม้าบ้อง ตำนานปอบม้าล้านนา เรื่องเล่าผี หรือความเชื่อ ประจำถิ่นล้านนา

ผีม้าบ้อง ตำนานปอบม้าล้านนา เรื่องเล่าผีม้าชาวไทยวน ประจำถิ่นล้านนาทางภาคเหนือ

ผีม้าบอง ตำนานปอบม้าล้านนา ชาวไทยวนถือได้ว่า เป็นกลุ่มชนเผ่าหนึ่ง ที่มักตั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย บริเวณที่ราบลุ่ม และมีแม่น้ำ ไหลผ่านระหว่างหุบเขา เช่น ลุ่มแม่น้ำปิง เป็นที่ตั้งของเมืองเชียงใหม่ และลำพูน

ลุ่มแม่น้ำวัง เป็นที่ตั้งของ เมืองลำปาง  ลุ่มแม่น้ำยม เป็นที่ตั้ง ของเมืองแพร่  และลุ่มแม่น้ำน่าน เป็นที่ตั้ง ของเมืองน่าน เป็นต้น ในอดีตชาวไทยวน ประกอบอาชีพ เกษตรกรรมเป็นหลัก บ้างก็ค้าขายเนื้อสัตว์

ชาวไทยวน นับเป็นอีกหนึ่งชนเผ่า ที่มีการสืบทอดรุ่น กันมาอย่างยาวนาน จนปัจจุบันนี้ ก็ยังคงมีอยู่ ถึงแม้จะน้อยก็ตาม เช่นเดียวกัน ขนบธรรมเนียม จารีตของชาวไทยวน ที่มีสืบทอดกันมา

และเรื่องเล่า ก็เป็นตำนาน อีกหนึ่งอย่าง ผีม้าบ้อง pantip ที่ชาวไทยวน ได้มีการเล่าขาน สืบกันมาอย่างเช่น เรื่องผีม้าบ้อง ที่เป็นตำนานผีชนิดหนึ่ง ที่ตามความเชื่อ ของชาวไทยวนนั้น จัดเป็นผีจำพวก ผีจะกละ

หรือผีป่า ซึ่งม้าบ้อง มีรูปลักษณ์ ของลำตัวส่วนบน เป็นมนุษย์ปกติ แต่ลักษณะ ท่อนล่างนั้นเป็นม้า ที่ชาวเหนือ ต่างก็เรียกกันว่า ผีม้าบ้องนั้นเอง

ถ้าพูดถึงตำนาน เรื่องเล่าสยองขวัญ ในภาคเหนือ ของประเทศไทยแล้ว ก็สามารถพูดได้เลยว่า เป็นทั้งเรื่องเล่า และเรื่องจริง ที่มีความสยอง ติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย กันเลยทีเดียว

เพราะตำนาน หรือเรื่องเล่านั้น ก็มีกันมาอย่างยาวนาน และมีมาเรื่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่ง เรื่องเล่าที่คนเฒ่า คนแก่นั้น เป็นผู้ประสบพบเจอ กับผีม้าบ้อง และได้เล่าถ่ายทอด เรื่องราวให้กับรุ่นลูก รุ่นหลานได้รู้จัก

เรื่องเล่าตำนานต่างๆ ของผีม้าบ้อง

เนื่องจากเป็นเรื่องเล่า ที่มีมาอย่างยาวนาน จึงอาจทำให้เกิดคำบอกเล่า เกิดบิดเบือน และต่างกันออกไป บางตำนาน ก็กล่าวอ้างกันว่า ผีม้าบ้องนั้น เกิดมาจากวิญญาณ ของชายแก่ตระหนี่

รักสันโดษ ไม่สนใจใคร ไม่เคยทำบุญ ทำทาน และยังไม่มีครอบครัว รวมถึงไม่เคย มีเพศสัมพันธ์กับใคร เมื่อตายลง ก็ไม่มีใคร ที่จะมาสนใจทำศพ ให้เลยสักคน

วิญญาณของ ชายผู้นี้ จึงรู้สึกอิจฉาริษยา ผู้คนที่มีครอบครัว ลักษณะผีม้าบ้อง ทำให้กลายร่างให้เป็นครึ่งคนครึ่งม้า และอาระวาด

บางตำนานก็กล่าวว่า ผีม้าบ้องนี้เกิดจาก เจ้าของม้า ได้เลี้ยงม้าไว้คู่ หนึ่งเป็นเพศผู้ และเพศเมีย โดยเลี้ยงมาตั้งแต่ ม้ายังเล็กจนโต เมื่อหร่ที่จะเดินทาง เจ้าของจะพา ม้าคู่นี้ไปด้วยทุกครั้ง

อยู่มาวันหนึ่ง ม้าตัวหนึ่งเกิดล้มเจ็บ จึงทำให้ ไม่สามารถที่ จะออกเดินทาง ไปกับเจ้าของได้  เจ้าของก็เลย ทิ้งม้าตัวนี้ไว้ และนำอีกตัวหนึ่งไป ส่วนม้าตัวที่ล้มเจ็บนั้น ก็นอนรอม้าคู่รักกลับมา

แต่ก็ไม่มีวี่แวว ว่าจะกลับมาหามันอีก จนในที่สุด มันก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณของม้า ก็ยังคงห่วงหาอาลัย ถึงคู่ของมันอยู่ เมื่อตกกลางคืน ม้าตัวนี้จะออกวิ่ง ส่งเสียงร้อง เที่ยวหาคู่ของมัน

บ้างก็ว่า ผีม้าบ้องก็คือ ผีม้าหรือวิญญาณ ของม้า ที่ตายจากการ ทำศึกสงคราม ที่ในสมัยก่อนนี้ ใช้ม้าเป็นยานพาหนะ ในการทำศึกสงคราม ซึ่งก็ทำให้ม้า ตายอยู่ไม่น้อย

อย่างทรมาน ด้วยคมหอก คมดาบ แบบอารมณ์เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน จิตวิญญาณจึงยังคงเคียดแค้นพยาบาท 

ผีม้าบ้อง

 

ผีม้าบ้อง ตำนานปอบม้าล้านนาตำนานที่เล่าขานของชาวไทยวน

แต่จากตำนาน ที่เล่าขาน ของชาวไทยวนนั้น ได้กล่าวไว้ว่า เป็นผีที่ ลักษณะคล้าย กับผีปอบ ของทางภาคอีสาน หากใครที่ถูกผีม้าบ้อง เข้าสิงแล้ว มันจะอยู่อาศัย ในร่างนั้นตลอดไป

ซึ่งผีปอบม้า หรือผีม้าบ้อง จะออกหากินยามวิกาล หรือช่วงพลบค่ำ โดยจะปรากฎกาย ในรูปแบบของ ครึ่งคนครึ่งม้า โดยร่างกายส่วนบน นั้นจะเป็นคน พนันไก่ชน

และร่างกายส่วนล่าง จะเป็นม้า จะวิ่งไปทั่ว เป็นเสียงเกือกม้า กุกกักๆ ตลอดทั้งคืน พร้อมกับร้องฮี่ๆ เหมือนเสียงม้า บางทีผีม้าบ้อง จะไม่แปลงกาย เป็นครึ่งคนครึ่งม้า แต่จะมาในรูปแบบ มนุษย์ปกติทั่วไป

เพียงแต่ว่า กิริยาท่าทาง จะคล้ายม้า คือการวิ่งเหยาะๆ และเอามือแนบหู ทั้งสองข้าง พร้อมกับส่งเสียงร้องฮี่ๆ เหมือนม้านั่นเอง

ผีม้าบ้องชอบกิน ของที่มีกลิ่นคาว ผีปอบม้า และของเน่าเป็นอาหาร เช่น เลือดสัตว์ ซากโครงกระดูกสัตว์ รกของเด็กแรกเกิด ไข่ดิบ ฯลฯ หากผีม้าบ้อง พบสิ่งเหล่านี้ ก็จะกินด้วยวิธีการ ใช้ลิ้นเลียเหมือนม้า

พอกินจนอิ่มแล้ว ก็จะจดจำสถานที่ตรงนั้น ไว้ว่าเป็นแหล่งอาหาร ถ้าหากหิวอีก หรือผ่านตรงนั้น ก็จะกลับมาเลียกินอีก เลียกินจนซาก ของโครงกระดูกเงามัน

หากผู้ที่ได้พบเห็น ผีม้าบ้องนั้น หรือถ้าหากผีม้าบ้อง รู้ว่าใครพบเห็น หรือเรียกนั้น จะถูกตาม และโผล่ให้เห็นอยู่บ่อยๆ จนจับไข้หัวโกร๋น ไปหลายวัน หรือจนถึงตาย

เรื่องเล่าจากประสบการณ์ผู้พบเจอ

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเป็นคืนช่วงเข้าพรรษาและตรงกับวันโกน ชายแก่ชาวไทยวนคนนึ่งที่กำลังจุดไฟเพื่อไล่ยุงและแมลงให้วัวและควายที่เลี้ยงไว้ และขึ้นบ้านเข้านอน

ซึ่งคืนนั้นก็เป็นคืนที่เงียบสงัด ผู้คนในหมู่บ้านก็พากันเข้านอนกันเร็ว และสมัยก่อนนี้ช่วงเวลาพลบค่ำก็จะมืดเร็ว ไฟฟ้าก็ไม่มีเหมือนทุกวันนี้ อาศัยก็แค่เพียงแสงจากดวงจันทร์และดาวบนท้องฟ้า

ในขณะที่กำลังหลับอยู่นั้นหูทั้งสองข้างชายแก่ก็ได้เสียงฝีเท้าของสัตว์เดินซึ่งเสียงคล้ายๆกับเกือกเท้าของม้า กุบกับๆๆๆๆ พร้องกับเสียงร้องของม้าที่ร้องฮี่ๆเบาๆ ชายแก่ก็ตกใจลืมตาขึ้น

เพราะรู้ว่าในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นไม่มีใครเลี้ยงม้าอย่างแน่นอน เพราะเป็นสัตว์ที่มีราคาสูงมาก ซึ่งชาวไทยวนเป็นกลุ่มคนธรรมดาๆ อยู่แบบชนบทเรียบง่าย

และเสียงฝีเท้าของม้าตัวนั้นก็วิ่งเหยาะอยู่รอบบ้านของเขา ด้วยความสงสัยเขาจึงลุกขึ้นเพื่อดูว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ เขาได้มองรอดผ่านซี่ไม้ของกำแพงบ้าน และสิ่งที่ทำให้เขาเห็นนั้นทำให้เขาถึงกับล้มทั้งยืนและช็อคในเวลาเดียวกัน

เขาเล่าว่าภาพตรงหน้าที่เขาเห็นนั้นถึงแม้จะไม่ชัดเพราะมันมืดมากมีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์สลัวๆเท่านั้น ที่เขาเห็นเป็นม้าสีดำขนาดใหญ่ เจอผีม้าบ้อง แต่ไม่ใช่ม้าทั่วๆไป ที่ทำให้เขาช็อคนั้นเป็นเพราะว่าส่วนบนของม้านั้นมีลักษณะเหมือนคน

มีแขนสองข้าง มีหัวเหมือนคน และบริเวณปากนั้น ก็มีแต่คราบเลือดหนอง เต็มไปหมด และเขาก็รู้ทันทีว่า สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้านั้น คือผีม้าบ้อง และเมื่อผีม้าตนนั้นได้ยินเสียง ไม้กระทบจากที่เขาล้ม ผีม้าก็หันมามอง แล้ววิ่งหนีไป

พอรุ่งเช้า ชายแก่ก็เดินออกมา เพื่อดูรอยเท้าของม้าตนนั้น แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยเดียว ทั้งที่เป็นม้าตัวใหญ่ และพื้นดินในหมู่บ้าน ก็หนาและแฉะขาดนั้น

ปัจจุบัน ไม่มีใครพบเห็น หรือประสบเหตุการณ์เจอผีม้าบ้องอีกเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะ บ้านเมืองมีความทันสมัยมากขึ้น ป่าเขาลดลง จนความเชื่อเหล่านี้ค่อยๆ ถูกลืมเลือนทีละนิด จนเหลือไว้เพียงตำนานบอกเล่า เเละอาจจะเลือนหายไปในที่สุด